ภูทอก เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่นในจังหวัดบึงกาฬ โดยเป็นที่ตั้งของ วัดเจติยาคีรีวิหาร หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดภูทอก ตั้งอยู่ในเขตบ้านคำแคน ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ



ประวัติภูทอก
"ภูทอก" ในภาษาอีสานแปลว่า "ภูเขาที่โดดเดี่ยว" มีภูเขา 2 ลูก คือ ภูทอกใหญ่ และ ภูทอกน้อย โดยที่ภูทอกน้อยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดให้ผู้แสวงบุญและนักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม ส่วนภูทอกใหญ่ยังไม่เปิดให้เข้าชมในปัจจุบัน

ในอดีต บริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าชุกชุม ต่อมา พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เริ่มเข้ามาพัฒนาให้เป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรธรรมและปฏิบัติธรรม เนื่องจากความเงียบสงบและเหมาะสมสำหรับสมณะธรรม



พระอาจารย์จวนได้ริเริ่มสร้างสะพานไม้และบันไดขึ้นภูทอกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมธรรมชาติและศึกษาแนวคิดพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่

บันได 7 ชั้นของภูทอก
การขึ้นภูทอกผ่าน บันไดไม้ 7 ชั้น นับเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความงดงามและศรัทธา

ชั้นที่ 1: เมื่อผ่านประตูสวรรค์เข้าสู่ชั้นแรก นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด
ชั้นที่ 2: บันไดไม้ยาวทอดขึ้นจากชั้นที่ 1 ไปยังชั้นที่ 2 ซึ่งมีทิวทัศน์ป่าที่คล้ายคลึงกัน
ชั้นที่ 3: เส้นทางเวียนรอบภูเขา มีจุดแยกสองทาง ทางหนึ่งสามารถลัดไปชั้นที่ 5 ได้ ส่วนอีกทางเป็นทางอ้อมที่แนะนำสำหรับการเดินขึ้น
ชั้นที่ 4: สะพานลอยเวียนรอบภูเขา ที่นี่สามารถมองเห็น "ดงชมพู" และภูมิทัศน์ที่งดงามของป่าดิบ
ชั้นที่ 5: ศูนย์กลางของภูทอก มีศาลาและกุฏิ รวมถึงจุดที่เก็บสังขารของพระอาจารย์จวน
ชั้นที่ 6: จุดชมวิวที่สวยที่สุด มีสะพานหินและพุทธวิหาร
ชั้นที่ 7: จุดสูงสุดของภูทอก เป็นพื้นที่สำหรับการปฏิบัติธรรมอย่างสงบ



พุทธวิหารและความมหัศจรรย์
พุทธวิหาร เป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่พักผ่อนของพระอริยะ ลักษณะของหินที่ตั้งอยู่โดยไม่ตกลงมาถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เปรียบได้กับพระธาตุอินทร์แขวนในประเทศพม่า

การท่องเที่ยวภูทอก
ภูทอกไม่ได้เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แต่ยังเป็นแหล่งที่สร้างแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสทั้งความงดงามของธรรมชาติและได้เรียนรู้หลักคำสอนในพุทธศาสนา



สถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับผู้ที่แสวงหาความสงบและแรงบันดาลใจ พร้อมสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการแสวงบุญ